Posts

เมื่อจะบอกว่า “เป็นลม หรือหมดสติ” ใช้ faint

Faint = เฟนทฺ (เป็นลม หมดสติ) เป็นได้ทั้งคำนาม คำกริยา และคำคุณศัพท์ แต่สำหรับการใช้ในความหมายว่าเป็นลม มักคุ้นเคยกันในฐานะคำกริยา เนื่องจากใช้เป็นคำพูดประกอบในประโยคได้ง่าย ดูตัวอย่างการใช้ได้ครับ 1 I fainted from the heat. ไอ เฟนทิด ฟรอม เดอะ ฮีท (ฉันเป็นลมเนื่องจากแดดร้อน) 2 The patient fainted at the sight of blood. เดอะ เพเชินทฺ เฟนทิด แอ็ท เดอะ ไซทฺ อ็อฟ บลัด (ผู้ป่วยเป็นลมเมื่อเห็นเลือด) บทสนทนาถัดไป เมื่อจะพูดว่า "เอาชุดไปเปลี่ยนหรือดัดแปลงให้พอดีตัว" ใช้ alter บทสนทนาก่อนหน้า เมื่อจะพูดว่า "อาบน้ำให้เด็ก หรือทารก" ใช้ bathe

เมื่อจะพูดว่า “อาบน้ำให้เด็กหรือทารก” ใช้ bathe

Bathe = เบธ (อาบน้ำให้ ล้างแผล) เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยาส่วนมากมักจะใช้ในฐานะคำกริยา ซึ่งจะคุ้นเคยกันในความหมายว่า อาบน้ำให้เด็ก และ ล้างแผล ดูการใช้ได้ครับ 1 Mother bathed the baby. มาเธอรฺ เบทธฺ เดอะ เบบิ (แม่อาบน้ำให้ลูกน้อย) 2 She bathed the wound in antiseptic. ชี เบทธฺ เดอะ วูนดฺ อิน แอนติเซพติค (เธอล้างแผลด้วยยาฆ่าเชื้อ) บทสนทนาถัดไป เมื่อจะพูดว่า "เป็นลม หรือหมดสติ" ใช้ faint บทสนทนาก่อนหน้า เมื่อต้องการพูดว่า "ใครเปลี่ยนไป" ใช้ change

เมื่อต้องการพูดว่า “ใครเปลี่ยนไป” ใช้ change

Change = เชนจฺ (เปลี่ยน) เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำนาม และสามารถใช้ได้หลากหลายบริบทมาก กล่าวคือสามารถใช้ในความหมายว่า เปลี่ยน หรือเปลี่ยนไป ทั้งกับสิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ดูตัวอย่างการใช้ได้ครับ 1 Fame has completely changed him. เฟม แฮซ เคิมพลีทลิ เชนจฺด ฮิม (ชื่อเสียงทำให้เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง) 2 She changed the car for a bigger one. ชี เชนจฺด เดอะ คารฺ ฟอรฺ อะ บิกเกอรฺ วัน (เธอเปลี่ยนไปใช้รถคันใหญ่กว่า) Change ยังใช้ในความหมายว่าแลกเงินย่อย เงินปลีก หรือแลกเงินจากสกุลหนึ่งไปเป็นอีกสกุลหนึ่งได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น 3 I want to change my dollars into baht. ไอ วอนทฺ ทู เชนจฺ ไมยฺ ดอลลารฺส อินทู บาท (ผมต้องการแลกเงินดอลลาร์เป็นเงินบาท) นอกจากนี้ change ยังมีความหมายว่าต่อรถได้อีกด้วยครับ ตัวอย่างเช่น 4 You have to change at The Central World for The Royal Field. ยู แฮฟวฺ ทู เชนจฺ แอ็ท เดอะ เซ็นเทริล เวิรฺลดฺ ฟอรฺ เดอะ โรยัล ฟีลดฺ (คุณต้องต่อรถที่เซ็นทรัลเวิลด์เพื่อไปสนามหลวง) บทสนทนาถัดไป เมื่อต้องการพูดว่า "อาบน้ำให้เด็กหรือทา

เมื่อจะพูดว่า “ถูกห้ามไม่ให้ทำบางอย่าง” ใช้ ban

Ban = แบน (ห้าม ไม่ให้ทำ) เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำนาม ส่วนมากมักคุ้นเคยกันในฐานะคำกริยา คำนี้เป็นคำค่อนข้างทางการใช้พูดและเขียนเมื่อต้องการสื่อความหมายว่า ห้ามไม่ให้ทำบางอย่าง หรือถูกห้ามไม่ให้ทำบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเจ้าหน้าที่รัฐ ดูรายละเอียดการใช้ได้ครับ 1 Smoking is banned in the building. สโมคกิงกฺ อิซ แบนดฺ อิน เดอะ บิลวฺดิงกฺ (ห้ามสูบบุหรี่ในอาคาร) 2 She has been banned from driving for a year. ชี แฮซ บีน แบนดฺ ฟรอม ไดรฟฺวิงกฺ ฟอรฺ อะ เยียรฺ (เธอถูกห้ามไม่ให้ขับรถมาหนึ่งปีแล้ว) ข้อสังเกต ban มักใช้ในรูปประธานถูกกระทำว่า ห้ามบางคนจากบางสิ่งหรือห้ามบางคนไม่ให้ทำบางสิ่ง เพราะฉะนั้นมักใช้ในรูป ban somebody from something หรือ from doing something ดังตัวอย่างในประโยคข้อ 2 เป็นต้น ข้อควรจำ คำว่า ban ในบางประโยคสามารถใช้คำว่า prohibit และ forbid แทนได้ในความหมายว่าห้าม บทสนทนาถัดไป เมื่อต้องการพูดว่า "ใครเปลี่ยนไป" ใช้ change บทสนทนาก่อนหน้า เ มื่อจะพูดว่า "ได้รับการประกันตัวหลังถูกจับกุม" ใช้ bail

เมื่อจะพูดว่า “ได้รับการประกันตัวหลังถูกจับกุม” ใช้ bail

Bail = เบลวฺ (การประกันตัว เงินประกัน ประกันตัวออกไป) เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา แม้ว่าคำนี้จะมีความหมายหลากหลาย กล่าวคือสามารถแปลว่า ถังน้ำ หรือ วิดน้ำก็ได้ แต่ที่คุ้นเคยและได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆก็คือจะใช้กันในความหมายว่า การประกันตัว หรือประกันตัวด้วยเงินเท่านั้นเท่านี้ หรือก็คือการปล่อยตัวผู้ต้องหาไปชั่วคราวโดยการกำหนดให้วางเงินหรือหลักทรัพย์ประกัน ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีในศาล สำหรับผู้ที่ถูกตำรวจจับโดยข้อหาต่างๆ มาดูการใช้คำนี้ในความหมายนี้กันครับ 1 he was released on 100,000 baht bail. ฮี วอซ รีลีสทฺ ออน วัน ฮันเดรด เทาเซินดฺ บาท เบลวฺ (เขาได้รับการปล่อยตัวไปด้วยเงินประกัน 100,000 บาท) 2 He was bailed to appear in court on 15 July. ฮี วอซ เบลวฺด ทู อะเพียรฺ อิน คอรฺท ออน ฟิฟทีน จูไลยฺ (เขาได้รับการประกันตัวก่อนที่จะมาขึ้นศาลในวันที่ 15 กรกฎาคม) ข้อสังเกต bail ในประโยคที่ 1 ทำหน้าที่เป็นคำนามซึ่งจะตามหลังคำบุพบท on ส่วน bail ในประโยคที่ 2 เป็นคำกริยาใช้ในรูปประธานถูกกระทำ การออกเสียง อ่านว่า เบ้ลวฺ  บทสนทนาถัดไป เมื่อจะพูดว่า "ถูกห้ามไม่ให้ท

เมื่อเน้นย้ำว่าทำอะไรไปแล้ว ใช้ already

Already = ออลเรดดี (ทำแล้ว เรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นแล้ว) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใช้พูดหรือเขียนเมื่อต้องการเน้นย้ำว่าได้ทำบางอย่างไปแล้ว บางอย่างเกิดขึ้นแล้ว หรือถึงเวลาบางอย่างแล้ว นอกจากนี้ยังใช้ในประโยคคำถามลักษณะเชิงแปลกใจ สงสัยว่าได้ทำบางอย่างไปแล้วหรือ บางอย่างเกิดขึ้นแล้วหรือ? อะไรทำนองนั้น ดูตัวอย่างการใช้ได้ครับ 1 Do you want a coffee? ดู ยู วอนทฺ อะ คอฟฟี? (ดื่มกาแฟสักแก้วไหมครับ?) 2 No, I have already got one, thanks. โน ไอ แฮฟวฺ ออลเรดดี ก็อท วัน แธงคฺส (ไม่ล่ะครับ ผมดื่มแล้วครับ ขอบคุณครับ) 3 Is it 10 o’ clock already? อิซ อิท เท็น โอ คลอค ออลเรดดี? (สิบโมงแล้วหรือครับ?) 4 Yes it is. เยส อิท อิซ (ใช่ครับ) ข้อควรจำ ความจริงถ้าจะให้เหมาะสมและถูกไวยกรณ์ already มักใช้ใน present perfect tense ดังประโยคตัวอย่างในข้อ 2 แต่ในภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการอาจใช้ในรูป p resent simple tense หรือ  past simple tense ดังประโยคตัวอย่างในข้อ 3 การออกเสียง ให้เน้นพยางค์ที่ 2 อ่านว่า ออล เร้ด ดี บทสนทนาถัดไป เมื่อจะพูดว่า "ได้รับการประ

ใช้ automatically เมื่อพูดว่า “ทำบางอย่างโดยอัตโนมัติหรือบางอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ”

Automatically = ออเตอะแมทติกเคิลลี (โดยอัตโนมัติ) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ใช้พูดและเขียนเมื่อจะบอกว่า ทำบางอย่างโดยอัตโนมัติ หรือบางอย่างเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ สำหรับการใช้ที่คุ้นเคยกันมากก็คือเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องใช้ที่ทำหน้าที่บางอย่างโดยอัตโนมัติ ดูตัวอย่างการใช้ได้ครับ 1 she replied automatically when she heard her name ชี ริไพลดฺ ออเตอะแมทติกเคิลลี เวน ชี เฮิรฺด เฮอรฺ เนม (เธอตอบโดยอัตโนมัตเมื่อได้ยินใครเรียกชื่อเธอ) 2 The door opened automatically as I approached. เดอะ ดอรฺ เออะเพนดฺ ออเตอะแมทติกเคิลลี แอซ ไอ อะพรอชทฺ (ประตูเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อผมเข้าไปใกล้) ข้อสังเกต เนื่องจากเป็นคำกริยาวิเศษณ์ขยายกริยา automatically จึงสามารถวางหลังกริยาแท้หรือระหว่างกริยาช่วยกับกริยาแท้ในประโยครูป passive voice การออกเสียง ให้เน้นพยางค์ที่ 3 อ่านว่า ออเตอะ แม้ท ติกเคิลลี บทสนทนาถัดไป เมื่อเน้นย้ำว่าทำอะไรไปแล้ว ใช้ already บทสนทนาก่อนหน้า ใช้ attend เมื่อจะบอกว่า "เข้าร่วมงาน การประชุมหรือร่วมพิธิการอย่างเป็น ทางการ"